Sketch Drawing Painting Travel

Monday 21 December 2009

sketch on Lumpang


ผมต้องไปลำปาง ผมต้องไปลำปาง...
เมืองล้ามด ที่รถม้าหายากช่วงนี้
ด้วยภาระกิจทางด้านใจ ที่มากกว่าคำว่ารัก
ณ ศูนย์มะเร็งในช่วงเช้าๆ อินเดอะมอร์นิ่ง

ถึงแม้จะรีบ แต่ก็ไม่ถึงกับเร่ง
ผมจึงตัดสินใจใช้บริการเจ้าม้าเหล็กอีกเช่นเคย
ในม้าเหล็ก มันสร้างกิจกรรมและความผกผันในความคิดที่แตกแขนงตลอดเวลา
ไม่ว่าเราจะใช้จินตนาการในหรือข้างนอกขบวนรถก็ตาม

คราวนี้ไม่ได้เสก็ตซ์บริเวณสถานีจุดเริ่มต้น
แต่ตั้งใจจะเก็บความรู้สึกภายในขบวนรถไฟที่ไม่ได้ใช้ฟืนอีกต่อไป
เมื่อได้ขึ้นรถ ก็พบกับคนกลุ่มใหญ่ๆ ที่ต่างสรวลเสเฮอากับความคิดของตน
ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างคิด และใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตัวเอง

เห็นหน้ากากอนามัย ที่ไม่ใช่หน้ากากเสือ ใส่กันให้พรึ่บ
แต่ไม่ยักกะเอาปิดปากกับจมูกไว้กันไข้หวัด 2009
กลับเอาห้อยไว้ที่หู บางคนห้อยไว้ที่คาง คล้ายๆกับห้อยพระไว้กันผี
แต่นี่....ห้อยแมสไว้กันเป็นไข้

เห็นความรักของแม่ที่ยอมทนให้ขาจะชาดิ๊กๆ...
เพื่อให้ลูกน้อยตัวอ้วนๆได้นั่งแถมดิ้นได้อย่างสบายอุรา
ทำให้ผมคิดถึงแม่ ที่เราจะเจอกันในตอนเช้าของพรุ่งนี้อย่างทันควัน

เห็นคนที่หลับตา พาน้ำลายที่เกือบจะยืด
ผมว่าเขาต้องฝันดีแน่ๆ ฝันถึงบ้านที่ใกล้จะถึงเต็มทน
หรือไม่ก็ยอมจำนนกับความอ่อนแรง ที่เดินทางมาหลายชั่วโมง

ความครึกครื้นที่เริ่มกลับมาคักคึกเกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อถึงสถานีใหญ่แห่งหนึ่ง ทางภาคเหนือตอนล่างที่ไม่ล่างสุด
ผู้คนต่างเตรียมข้าวของ สัมภาระพร้อมเหม่อมอง หาคนที่มารับอย่างใจจดจ่อ

แม่จูงมือลูกเตรียมตัวเดินลงรถ หลายๆคนหอบสัมภาระชิ้นใหญ่
คล้ายๆกับของฝากจากแดนไกล
แน่นอน...ก็ต้องเอามาให้คนที่เขารักที่รออยู่นั่นเอง
..และแล้วในที่สุด ทุกคนก็ลงกันเกือบหมดตู้
เราที่นั่งคดคู้อยู่ ก็ดูจะสบายหายเมื่อยซะที

ที่แคบๆ กลายเป็นที่โล่งอย่างทันตาเห็น
จนนอนเล่นกันได้อย่างสบายๆ
แต่ยังไม่ถึงกับกลายเป็นสนามฟุตบอล ที่มีไว้แตะตะกร้อเล่น
โล่งแค่เหยียดขาปลดปล่อยไว้กันเมื่อย ก็พอ


เมื่อถึงศูนย์ฯที่คุ้นเคย กับน้ำพุที่คุ้นตา
สบายอุราทุกครั้งที่ได้เหม่อมอง  แต่ก็ไม่ถึงกับเหม่อลอย
จะไม่คุ้นได้ไง ก็เมื่อเดือนที่ผ่านมาผมอยู่ที่นี่ทั้งเดือน
จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย ไปในทางที่ดี
ทำให้ชายชาตรีอย่างผม ได้กลับเข้าใกล้ชีวิตโหมดปรกติอีกครั้งหนึ่ง




พยาบาลที่คุ้นเคย
คนไข้ที่คุ้นตา กับอาการที่ดีขึ้นเกือบทุกคน
ทำให้ผมพอที่จะคิดแผนการณ์ออกตะลุยข้างนอกอีกครั้ง
เพื่อเก็บควมทรงจำ หลังจากที่ถูกละเลยไปด้วยหลายๆสาเหตุ

เมื่อจัดการกับภาระกิจพร้อมจิตใจที่เบิกบาน
เพราะแม่อาการดีขึ้นจนเกือบเหมือนปรกติแล้ว
ก็เดินทางออกมาภายนอก สู่โลกแห่งการแข่งขันอีกครั้งหนึ่ง
พร้อมแผนการณ์และเวลาที่ดูเหมือนน้อยนิดกับหลายแห่งที่ต้องการไป

บ่ายสองแล้ว หาข้าวกินก่อนตะลุย
ไปเจอก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาที่มาขายลำปาง
ก็เลยเอาให้คุ้มทั้งสองจังหวัด ด้วยการกินข้าวซอยลำปาง ในร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา

พร้อมกับวางตำแหน่งที่ต้องการไป ด้วยรถเช่าในลำปาง

ว่างเป็นไม่ได้ หยิบสมุดเล็กขึ้นมาทำการบันทึก
คนกินก็รอ อย่างมีหวัง(จะได้กิน)
คนขายก็ทำอย่างมีหวัง(จะได้ตังค์)

วัดพระแก้วดอนเต้า
ที่พระแก้วมรกตเคยประดิษฐาน
กับรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบพม่า
จะว่าไปแล้ว วัดในลำปางส่วนใหญ่ จะเป็นแบบพม่ากันเกือบทั้งน้น
ถ้าเห็นหลังคาซ้อนๆกัน เจดีย์ล้อมรอบกันหลายองค์ ก็ตีตราว่าใช่เลย

จัดการยืนเสก็ตซ์ไปสองรูปเพื่อทำเวลากับอีกหลายแห่งที่ต้องไป
จึงถ่ายภาพเก็บไว้กันลืม
แต่ก็ยังไม่ถึงขีดเขียนบันทึกไว้ในใจได้เท่ากับการเสก็ตซ์แต่อย่างใด



จากนั้นก็เคลื่อนกาย ย้ายวิญานออกไป
ถึงสุสานไตรลักษณ์ ที่หลวงพ่อเกษมเขมโก สละสังขารไปนานแล้ว
ภายในสุสานถึงแม้จะดูเงียบเหงา
แต่ตัวเราเองยังฝังแน่นไปด้วยคำสอน กับสัจะธรรมของชีวิต
และสังขารที่บ่าย แบบไม่เที่ยง(แท้)ที่ท่านได้ฝากไว้ให้จดจำ
จึงสลักภาพนี้ลงบนสมองส่วนวิเคราะห์ ด้วยการเสก็ตซ์อีกรูป



หลังจากนั่งทราบซึ้งกับสัจจะธรรมพร้อมภาพเสก็ตซ์เสร็จแล้ว
ก็เข้าสู่ วัดเจดีย์ซาวที่แปลว่ายี่สิบทันที
เมื่อรถจอด ก็ทำการ เสก็ตซ์ทันใด
 เสก็ตซ์แบบไม่นับ ทำแบบไม่คิด
เพราะมองยังไงก็ไม่ครบซาว

แต่ถ้าเดินนับ เขาบอกว่าถ้าครบซาวจะเป็นคนมีบุญ
ส่วนใหญ่นับไม่ถึงหรือไม่ก็เลย จึงบุญไม่ค่อยมี
ผมเลยไม่นับดีกว่า ซาวก็ซาว...เชื่อแล้วครับ

เดินทางมาอีกค่อนข้างไกล
กว่าจะถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง
ที่เต็มไปด้วยตำนานและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

แต่การที่จะมองเห็นภาพพระธาตุที่สะท้อนเข้ามาในโบสถ์
ต้องอาศัยแดดที่แรงกล้า ในช่วงเวลาก่อนเที่ยง
แต่นี่ ฟ้าทึมๆ หลัวๆจากเมฆฝนและใกล้เวลาที่อาทิตย์จะเข้านอน จึงอดดูตามระเบียบ
สี่โมงสี่สิบเพิ่งมาถึง ต้องรีบกลับ โรงพยานบา
อ่ะ..โรงพยาบาล

จัดแจงไปสองภาพ แบบเร่งรีบ
เมื่อไหว้พระเสร็จก็เดินทางดูพิพิธภัณฑ์ ที่กำลังปรับปรุง
รอบๆข้างมีแต่กองทราย  กับผู้คนที่เหลือน้อยเต็มที คงเพราะเย็นแล้ว
ชาวบ้านเขามากันช่วงเช้า แต่เรามาซะเย็นย่ำ
แล้วเราจะช้าอยู่ใย ไปก่อนดีกว่า โอกาสหน้า(ถ้ามี)ค่อยมาเก็บทีละวัดก็แล้วกัน
หลังจากสลบไสลไปเกือบทั้งคืน
ถึงตอนเช้า รีบหอบเอาสังขาร มากาดกองต้า หรือตลาดจีน
พบกับภาพบ้านเก่าๆคาดว่าสมัย รัชกาลที่ 6 อยู่เรียงรายเต็มไปหมด
แต่ก็ยังดี เก็บภาพเสก็ตซ์ได้อีกสองภาพ
เสียดายกับการเสก็ตซ์สะพานรัษฎาหรืออีกชื่อเรียก สะพานขาว
เดี๋ยวไม่ทัน เพราะต้องเดินทางกลับในเวลาก่อนเที่ยง(เห็นไหม ไม่เที่ยงจริงๆ)

มาถึงสถานีรถไฟลำปาง
จัดการไปอีกสามภาพกับสมุดเล่มเล็ก ก่อนที่รถจะมา

....รถมาแล้ว ยังเหลือความทรงจำ
สถานที่สวยๆอีกเพียบ ที่จะสะกดไว้ในความทรงจำ
ทั้งตึกเก่า ร้านขายยาจีนที่เจ้าของร้านใจดี วัดวาอารามอีกมากที่ยังไม่ได้ไป

 

  จนใจเริ่มสะกิดยิกๆว่าไว้วันใหม่ โอกาสหน้า
จะมาเก็บงานอย่างสุขุมอีกครั้ง
 













No comments: